วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552
กาแฟที่คุณรัก
ประโยชน์และโทษของกาแฟ
1. ช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบ B มีผู้วิจัยพิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการป้องกัน โรคดังกล่าว
2. ช่วยป้องกันโรคหอบ โรคนี้ คือ อาการ ภูมิแพ้ชนิดหนึ่ง โดยทั่วไปเมื่อมีประสาทสำรองไม่ถูกกระตุ้น จะไม่มีอาการหอบเกิดขึ้นง่ายๆ แต่ถ้าหากประสาทสัมผัสสำรองถูกกระตุ้น จะเกิดอาการหอบทันที และคาเฟอีนในกาแฟจะระงับการตึงเครียดของประสาทสัมผัสสำรอง ลดการเกิดโรคหอบ
3. ช่วยลดการเกิดโรคตับจากสุรา ตามที่นักวิชาการสำรวจแล้วพบว่า กาแฟช่วยลดผลร้ายที่จะมีต่อตับ แต่ยังต้องวิจัยต่อไปว่า สารใดที่มีประโยชน์ดังกล่าว และมีผลต่อสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดโรคตับแข็งหรือไม่ นอกจากแอลกอฮอล์
4. ช่วยป้องกันมะเร็งตับ มะเร็งลำไส้ และมะเร็งในช่องปาก จากผลการทดลองจริง พบว่ากาแฟมีประสิทธิภาพป้องกันโรคขั้นต้น โดยเฉพาะในคาเฟอีนมีกรดอะซิติก ที่ช่วยป้องกันโรค
5. ช่วยขับไล่ความชรา ออกซิเจนเป็นสารที่ร่างกายต้องการมากก็จริง แต่ถ้ามีออกซิเจนมากไป ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งสูงและแก่เร็ว โดยเฉพาะกาแฟที่เข้มข้น จะทำให้ออกไซด์แตกตัว ลดการเกิดมะเร็งได้ กระตุ้นการเผาผลาญอาหารในร่างกาย
6. ช่วยกาแฟลดอัตราคอเลส-เตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ในกาแฟมีนิโคติน แต่ไม่ใช่ชนิดเดียวกับในบุหรี่ แต่เป็นวิตามิน B รวมชนิดหนึ่ง ที่ร่างกายต้องการ ช่วยลดคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด จึงป้องกันโรคหัวใจ และหลอดเลือดแข็งตัว
7. ช่วยละลายไขมัน กาแฟที่ทานหลังอิ่มอาหาร ช่วยให้ไขมันแตกตัว และให้พลังงานทดแทนจึงลดความอ้วนได้
8. ช่วยเพิ่มไขมันชนิดดีให้ร่างกาย ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว ตามผลการวิจัยพบว่า คนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จะมีไขมันชนิด (HDL) เพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะขับไล่คอเลสเตอรอลออกไป ป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
9. ช่วยแก้ปวดศีรษะ กาแฟมีส่วนผสมของคาเฟอีนที่ขยายหลอดเลือด ระงับอาการปวดได้เช่นเดียวกับยาแก้ปวด และยังช่วยขับปัสสาวะ ละลายไขมันในเส้นเลือด และช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ เนื่องจากเมาสุราได้
10. ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมองและสมรรถภาพสมอง มีผู้เชี่ยวชาญสรุปผลการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมาว่า ความหอมของกาแฟช่วยกระตุ้นสมองให้ทำงานได้เร็วขึ้น และมีสมาธิ ประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้น นั้นเป็นเพราะกลิ่นกาแฟ ทำให้เลือดไหลเวียนในสมองเพิ่มขึ้น
11. ดื่มกาแฟเล็กน้อยทำให้น้ำย่อยในกระเพาะหลั่งดีขึ้น ไขมันแตกตัว หากได้ดื่ม กาแฟเล็กน้อยหลังทานอาหารเสร็จ คาเฟอีน ในกาแฟจะมีประโยชน์ต่อกระเพาะโดยตรง น้ำย่อยที่กระเพาะและตับอ่อนเพิ่มขึ้น ไขมันถูกเผาผลาญ
กาแฟ เป็นทั้งอาหารเช้ากับอาหารว่าง บางครั้งกลายเป็นเพื่อนในยามดึกของหลายๆคนอีกด้วย อะคาท็อกซิน เอ Ochratoxin A ก็เป็นอีกพิษภัยที่มองไม่เห็น สาร Ochratoxin A ทนความร้อน อุณหภูมิหุงต้มปกติ ไม่สามารถทำลายเจ้าสารพิษชนิดนี้ได้ มันชอบอยู่ในสภาวะที่มีความชื้นและมีอุณหภูมิระดับปานกลาง มักพบปนเปื้อนอยู่ในเมล็ดธัญชาติ โกโก้ เมล็ดกาแฟ ชีส และผลไม้ อบแห้ง เช่น องุ่นอบแห้ง หรือที่เรียกว่า wine fruit นอกจากนี้ ในบางครั้งยังพบในหมู และผลิตภัณฑ์จากหมู เช่น แฮม ไส้กรอก เบคอน ทั้งนี้ เนื่องจากหมูอาจกินอาหารที่มีการปนเปื้อนของสารตัวนี้ เมื่อร่างกายได้รับสาร Ochratoxin A เข้าสู่ร่างกายจะทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อ เนื่องจากขาดเลือดมาหล่อเลี้ยง นอกจากนั้น อาการติดเชื้อของไต (nephropathy) ที่เกิดจาก Ochra- toxin A จะนำไปสู่การเกิดการก่อลูกวิรูป เกิดเนื้องอกในต่อมไต และเกิดเนื้องอกที่ตับในหนูทดลอง แต่ไม่ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ ประเทศแคนาดาและประเทศสมาชิกในสหภาพยุโรปหลายประเทศ ได้สำรวจและเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์อาหารที่มีจำหน่ายภายในประเทศ ที่อาจปนเปื้อน Ochratoxin A นำมาวิเคราะห์ สำหรับปัจจุบันมีมาตรฐานการปนเปื้อนของสาร Ochratoxin A ในอาหารดังนี้
ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 197 พ.ศ.2543 กำหนดให้กาแฟสำเร็จรูปชนิดเหลว ไม่มีสารพิษจากจุลินทรีย์หรือสารเป็นพิษอื่นในปริมาณที่อาจจะเป็นอันตรายต่อ สุขภาพ มาตรฐาน codex ปริมาณสูงสุดที่อนุญาตให้ปนเปื้อนในเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ดิบ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเมล็ดข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวไรย์ เท่ากับ 5 ไมโครกรัม/กิโลกรัม (report April 2002) วันนี้สถาบันอาหารสุ่มตัวอย่างกาแฟสำเร็จรูปในท้องตลาด 5 ตัวอย่าง มีถึง 2 ตัวอย่างที่เกินมาตรฐานสูงมาก เห็นกันอย่างนี้แล้ว คอกาแฟทั้งหลายคงต้องระมัดระวังกันเพิ่มขึ้น “มัน” ไม่ได้มีเฉพาะคาเฟอีนเท่านั้น
พันธุ์กาแฟในประเทศไทย
กาแฟมีมากกว่า 6,000 พันธุ์ แต่พันธุ์หลัก ๆ ที่ได้รับความนิยมมี 2 พันธุ์ ได้แก่ อาราบิก้า (Arabica) ซึ่งเป็นกาแฟแบบดั้งเดิม มีรสชาติดี และโรบัสต้า (Robusta) ซึ่งมีปริมาณกาเฟอีนสูง และสามารถปลูกในที่ที่ปลูกอาราบิก้าไม่ได้ (คำว่า robust ในภาษาอังกฤษ แปลว่า ทนทาน) ด้วยความที่มีความทนทานมากกว่านี้เอง จึงทำให้กาแฟโรบัสต้ามีราคาถูกกว่า แต่ผู้คนนิยมดื่มไม่มากนักเนื่องจากมีรสขมและเปรี้ยว ส่วนโรบัสต้าที่มีคุณภาพดีมักถูกนำไปใช้เป็นส่วนผสมของเอสเพรสโซ่ แบบผสม (เอสเพรสโซ่มีสองแบบใหญ่ ๆ คือแบบที่เป็นอาราบิก้าแท้ ๆ กับแบบที่ผสมกาแฟชนิดอื่น ๆ)
แหล่งปลูกกาแฟในประเทศไทย
การเริ่มต้นของอุตสาหกรรมกาแฟในประเทศไทยนั้นจะว่าไปแล้ว ยังถือว่าใหม่อยู่มาก ตามสถิติของทางราชการ เนื้อที่แปลงเพาะปลูกกาแฟทั้งหมดภายในปี 1960 มีเพียงแค่ 19,000 ไร่ (หรือประมาณ 7,600 เอเคอร์) และผลิตกาแฟได้เพียง 750 ตัน แต่ภายในปีเดียวกันนั้นเองประเทศไทย ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์พืชผลกาแฟเกือบจะ 6, 000 ตัน เพื่อเป็นการปรับดุลการค้า รัฐบาลไทยได้ตั้งโครงการรณรงค์ และสนับสนุนกาแฟโรบัสต้าที่ปลูกได้ทางภาคใต้ ซึ่งได้รับความสำเร็จเป็นอย่างดีโครงการนี้มีการผูกพันเกี่ยวเนื่องต่อไปในอนาคตเมื่อการปลูกพืชทดแทนการปลูกฝิ่นกลายเป็นโครงการของรัฐบาลอย่างเป็นทางการในปี 1970 เมื่อได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถและพระบรมวงศ์สานุวงศ์ อีกทั้งยังมีองค์การสหประชาชาติและองค์การทั้งภาคเอกชนและรัฐบาลอื่นๆอีกมากมายที่ให้การสนับสนุน ชาวไร่ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในเขตสามเหลี่ยมทองคำและตามแนวเขตแดนพม่าและลาวจึงเริ่มหันมาสนใจปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิกากันประเทศไทยเป็นชาติที่มีกาแฟเป็นสินค้าออกอย่างเป็นทางการในปี 1976 เราส่งกาแฟโรบัสต้ากว่า 850 ตันออกขายในตลาดโลก ในช่วงปี 1980 ราคาในตลาดโลกมีความแข็งแกร่งจึงช่วยให้การส่งออกมีการเติบโตไปในทิศทางที่ดีในปีต่อมาและถึงจุดสูงสุดในช่วงปี 1991-1992 ที่อัตรา 60, 000 ตัน ความล้มเหลวของ "สัญญากาแฟสากล" ในเดือนกรกฎาคมปี 1989 และภาวะราคากาแฟโลกที่ตกต่ำตามมามีผลกระทบที่รุนแรงต่อชาวไร่กาแฟอย่างรุนแรง รัฐบาลไทยต้องเปลี่ยนแปลงนโยบายอย่างกะทันหัน เมื่อเผชิญหน้ากับสถานการณ์การคุกคามของการมีอัตราการเสนอขาย ที่มากกว่าความต้องการซื้อจนเกินไป และเริ่มให้การสนับสนุนภายใต้แผน 5 ปี (1992-1997) ให้ชาวไร่กาแฟเปลี่ยนไปปลูกพืชผลอย่างอื่นเนื่องจากพยายามที่จะลดเนื้อที่ในการเพาะปลูกกาแฟ จากที่เกือบจะถึง 500,000 ไร่ (หรือประมาณ 200, 000 เอเคอร์)